ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ และแนวโน้มสำคัญของปี 2567 ที่เจ้าของโรงงานขนาดเล็กควรรู้!

ปัจจัยที่จะช่วยให้ธุรกิจอสังหาฯ และอุตสาหกรรมของโรงงานขนาดเล็ก ปรับตัวดีขึ้นในปี 2567

โรงงานขนาดเล็ก

นอกจากผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสากรรมต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากวิกฤติการณ์ของโรคระบาดก็ยังต้องมาเจอสภาวะสงครามของรัสเซียและยูเครนที่มีทิศทางว่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายปี 2566 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าส่งของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเองก็เช่น ฉะนั้น การอัปเดทข้อมูลของธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของ โรงงานขนาดเล็กและใหญ่ในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรทำในปลายปีนี้ เพื่อทราบถึงทิศทางและแนวโน้มสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณให้สามารถดำเนินกิจการให้ผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี

ซึ่งในหลาย ๆ บทความของเราได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวโน้มของธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปแล้วมากมาย ในบทความนี้ Prime Estate ขายโรงงานขนาดเล็กจะขอนำเสนอเกี่ยวกับทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate) เป็นธุรกิจจัดสรรที่ดินเพื่อขายหรือให้เช่าสำหรับประกอบกิจการ โรงงานขนาดเล็ก และใหญ่ของอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม โดยมีการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ อาทิ ไฟฟ้า ประปา ระบบป้องกันน้ำท่วม การบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง เป็นต้น

ปัจจัยอะไรบ้าง ที่ส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มสำคัญธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2567

มุมมองของวิจัยกรุงศรี ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566-2568 มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนดังนี้

  • เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐจะหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตตามมา
  • การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงช่วงก่อนวิกฤติ COVID-19 ภายในปี 2568
  • มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง (มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) และการผลักดันให้ไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” สำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ

ในส่วนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีทิศทางฟื้นตัวตามแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนของ 3 แบรนด์ใหญ่ที่เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งจะหนุนผลประกอบการของ Industrial Estate เป็นธุรกิจจัดสรรที่ดินเพื่อขายหรือให้เช่าสำหรับประกอบกิจการโรงงานขนาดเล็ก และใหญ่ให้มียอดขายและยอดการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจการเช่าที่ดินที่จะกลับมาขยายตัวดี โดยรายได้ของผู้ประกอบการอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของนิคมฯ สรุปได้ดังนี้

  • นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคตะวันออก : รายได้มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่าพื้นที่อื่น ๆ โดยคาดว่าความต้องการซื้อหรือเช่าที่ดิน จะขยายตัวในเกณฑ์ดี อานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนโครงการ EEC ในพื้นที่ 3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) ซึ่งจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐให้การส่งเสริม อย่างไรก็ตามอุปทานใหม่

  • นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคกลาง : รายได้คาดว่าจะยังเติบโตดี โดยเฉพาะรายได้จากค่าบริการสาธารณูปโภคและค่าเช่า เนื่องจากนิคมฯ และ โรงงานขนาดเล็ก และใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางมีความได้เปรียบเชิงกายภาพด้านการคมนาคมขนส่งมากกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ขณะที่การขยายพื้นที่ของผู้ประกอบการยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากพื้นที่ที่มีศักยภาพกข้อมูลพื้นฐานกระจุกอยู่ที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ อยุธยา และสระบุรี

  • นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่อื่น ๆ : รายได้มีแนวโน้มทรงตัว ตามความต้องการซื้อหรือเช่าที่ดินที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยังต้องรอแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ เส้นทางคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและในพื้นที่ใกล้เคียง จึงมีแนวโน้มที่นิคมฯ ในพื้นที่นี้อาจจะยังเติบโตช้ากว่า 2 พื้นที่ข้างต้น

สอดคล้องกับที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 2567 ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น รวมทั้งวัสดุ ค่าแรงงาน จากปัจจัยภายนอก สงคราม "อิสราเอล-ฮามาส" ส่งผลต่อต้นทุนน้ำมันและราคาบ้านในอนาคต หากยืดเยื้อ ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ปีหน้าราคาบ้านและคอนโดปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ดังนั้นผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยและมีกำลังซื้อ ควรรีบตัดสินซื้อช่วงปลายปี 2566 นี้

ปัจจัยอะไรบ้าง? ที่จะช่วยให้ธุรกิจอสังหาฯ และอุตสาหกรรมของโรงงานขนาดเล็ก ปรับตัวดีขึ้นในปี 2567

  1. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งต่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น : หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ โดยการเปิดประเทศเต็มรูปแบบเอื้อให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น โดยในปีนี้ที่โดดเด่นก็คือ การเข้ามาลงทุนของ 3 บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า EV ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลไทย บวกรวมกับความนิยมของผู้บริโภคที่มีเพิ่มมากขึ้นในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในปี 2567 นี้เราเชื่อทิศทางของอุตสาหกรรมเหล่าจะยังเติบโตได้มากขึ้น รวมถึงการลงทุนในอสังหาฯ การซื้อ-ขายโรงงานขนาดเล็ก และใหญ่เพิ่มมากขึ้น

  2. ผู้ประกอบการต่างชาติมีแนวโน้มย้ายขยายฐานการผลิตมาอาเซียนมากขึ้น : เพื่อลดภาวะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่คาดว่าจะยังยืดเยื้อ และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนกับไต้หวันที่ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว เพราะเขตพื้นนิคมอุตสาหกรรมของเรามีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ในการเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคอาเซียน และมีการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ทั้งทางถนนและระบบราง ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนใหม่ได้

  3. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มพัฒนาเชื่อมโยงเต็มรูปแบบมากขึ้น : โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ภายใต้แผนพัฒนาฯ ระยะที่ 2 (ปี 2566-2570) อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของนิคมฯ ในภาคตะวันออก

  4. นโยบายและมาตรการกระตุ้นการลงทุนจากภาครัฐที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง : ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสิทธิพิเศษด้านภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน หรือการผ่อนปรนกฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจน่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น เช่น
    • พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนของ BOI ยกเว้นภาษีนิติบุคคลสูงสุด 13 ปี (จากเดิม 8 ปี)

    • นโยบาย Long-Term Resident Visa (LTR Visa) ของ BOI ที่ให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนหรือผู้ทำงานชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวในไทย โดยมีเป้าหมายดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านทักษะและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะใน 12 กลุ่ม โรงงานขนาดเล็ก-ใหญ่และอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เข้ามาทำงานในไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive), อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Intelligent Electronics), อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (High Value and Medical Tourism), การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Advanced Agriculture and Biotechnology), อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future), อุตสาหกรรมเครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation & Robotics), อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation & Logistics), อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuel and Biochemical), อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital), อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical and Comprehensive Healthcare, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense) และ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา (Education and Human Resource Development)

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจจะถูกจำกัดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ, ต้นทุนของวัสดุก่อสร้างและพลังงานที่มีแนวโน้มทรงตัวสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 5-10% ต่อปี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงานและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการก่อหนี้ผูกพันในระยะยาว

หากคุณสนใจลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์หรือต้องการขยายฐานการผลิต เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีทิศทางว่าจะเติบโตมากขึ้นในปี 2567 นี้ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นที่โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการ ไพร์ม เอสเตท เรา ขายโรงงานขนาดเล็ก, คลังสินค้า หรือโกดังพร้อมที่ดิน หลายขนาด ให้คุณเลือกตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณ และตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญระหว่างกรุงเทพมหานครและ EEC ที่สามารถขนส่งได้หลากหลายช่องทาง เพื่อความสะดวกในการนำเข้าและส่งออกได้เป็นอย่างดี

 

สนใจดูรายละเอียดโครงการ โรงงานขนาดเล็ก, คลังสินค้า, โกดังพร้อมที่ดินทั้งหมดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์: www.primeestate.co.th
โทร : 063 663 6663
Facebook Inbox : m.me/PrimeEstateSME
Line: line.me/R/ti/p/@primeestate
Email : Sales@primeestate.co.th